ถ่ายทอดสด ซูเปอร์โบว์ล 2023 ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ vs แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ Super Bowl 57 | 13/2/66

Super Bowl 2023 live ถ่ายทอดสด

ดูฟรี ถ่ายทอดสด ศึกซูเปอร์โบว์ล 57 ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ (Philadelphia Eagles) แชมป์ของฝั่งเอ็นเอฟซี (NFC) และ แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ (Kansas City Chiefs) แชมป์ของเอเอฟซี (AFC) วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 6:30 น.

ดูถ่ายทอดสด ศึกอเมริกันฟุตบอล “ซูเปอร์ โบว์ล ครั้งที่ 57” (Super Bowl 2023) ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ (Philadelphia Eagles) แชมป์ของฝั่งเอ็นเอฟซี (NFC) และทีมแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ (Kansas City Chiefs) แชมป์ของเอเอฟซี (AFC) เช้าวันจันทร์ ที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ 2566 เวลา 06.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ดูฟรีที่นี่ “ซูเปอร์โบว์ล ครั้งที่ 57” โดยชัยชนะของ แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ ทำให้ แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กของทีม พาทีมเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ได้เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ฝั่งของ ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ เข้าชิงซูเปอร์โบวล์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การคว้าแชมป์ในซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 52 ที่พวกเขาเอาชนะ นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ ไปได้ 41-33 เมื่อปี 2018 สำหรับซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 57 จัดที่ สเตทฟาร์มสเตเดียม เกลนเดล ในรัฐแอริโซนา จะแข่งขันกันในตอนเช้า เวลา 06.30 น. ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ตามเวลาประเทศไทย พลาดไม่ได้! ศึกอเมริกันฟุตบอล NFL (Super Bowl ครั้งที่ 57) สำหรับการแข่งขันซูเปอร์โบว์ลครั้งที่ 57 จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ State Farm Stadium ในเมืองเกลนเดล รัฐแอริโซนา โดยได้ซูเปอร์สตาร์นักร้องหญิง ริฮานนา (Rihanna) มาแสดงในช่วงพักครึ่งเวลา หรือ Half Time Show และเป็นครั้งแรกที่มี Apple Music เป็นผู้สนับสนุนการแสดง Half Time Show แทนบริษัทเครื่องดื่ม Pepsi’s ด้วย

ช่องทางรับชม ถ่ายทอดสด Super Bowl 2019 วันนี้

 
กดไลค์เพื่อติดตามการถ่ายทอดสดค่ะ
 

ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ พบ แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์

Philadelphia Eagles vs Kansas City Chiefs
 
 
 
ดูสดที่นี่ >>ไฮไลท์ ดูย้อนหลัง
 
 

รอสัญญาณ ก่อนนะจ๊ะ
 
— ดูบอลฟรี ไม่มีกระตุก  web  |  live  | Gold

 
พรีวิวซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 57
แคนซัส ซิตี้ ซีฟส์ พบ ฟิลาเดลเฟีย อีเกิ้ลส์
**จันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ เวลา 06.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย)
ถ่ายทอดสดทาง True Sports 1 (666)**
สนาม: State Farm Stadium
อัตราต่อรอง: อีเกิ้ลส์ เป็นต่อ 1.5 คะแนน
ชุดแข่ง: ซีฟส์เลือกใช้ชุดเสื้อสีขาว กางเกงแดง ส่วนอีเกิ้ลส์ใส่ชุดเสื้อเขียว กางเกงสีขาวในฐานะทีมเจ้าบ้านในปีนี้
กรรมการ: Carl Cheffers (ตัดสิน Superbowl 51 และ 55 มาแล้ว)
ผู้ร้องเพลงชาติ: Chris Stapleton
Halftime Show: Rihanna
—————————————-
มาถึงเป็นที่เรียบร้อยสำหรับซูเปอร์ซันเดย์ของวงการกีฬาสหรัฐฯกับเกมซูเปอร์โบวล์ประจำฤดูกาลนี้ โดยเกมครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญได้ทันทีว่าใครจะเป็นทีมที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้ เนื่องจากทั้งคู่จบฤดูกาลปกติโดยเป็นทีมที่มีสถิติดีที่สุดของทั้งสาย AFC และ NFC ซึ่งเป็นครั้งที่ 6 ตั้งแต่ปี 2000 ที่ทีมวางอันดับ 1 ทะลุเข้ามาเจอกัน
ทั้งคู่เป็นแมตซ์อัพสูตรสำเร็จของเกมคุณภาพได้เป็นอย่างดี เมื่อทีมที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ในการเผชิญกับแรงกดดันต่างๆมาโดยตลอด รวมถึงเป็นมหาอำนาจแห่งยุคที่ 5 ปีหลังสุดเข้าชิงแชมป์สายได้ทุกปี (แถมเข้าซูเปอร์โบลว์ได้ถึง 3 จาก 4 ครั้งหลังสุด) กลับมาท้วงบัลลังก์อีกครั้ง มาเจอกับทีมคนหนุ่มไฟแรงที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอดจนเหลืออีกก้าวเดียวเท่านั้นพวกเขาจะถึงฝั่งฝัน ซึ่งพวกเขาถูกมองว่าเป็นทีมที่ภาพรวมสมดุลที่สุดในฤดูกาลนี้อีกด้วย แต่ก็ยังมีคำถามในเรื่องการรับมือแรงกดดันในเกมสำคัญเช่นนี้อยู่
สงครามกลางทะเลทรายครั้งนี้มีเรื่องราวที่เป็นครั้งแรกที่น่าสนใจหลักๆ 2 ประการด้วยกัน อย่างแรกนี่จะเป็นควอเตอร์แบ็คผิวดำมาดวลกันเองในเกมที่สำคัญที่สุดของฤดูกาลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และจะเป็นพี่น้องคู่แรกที่ได้ปะทะกันในซูเปอร์โบลว์ด้วย (พี่น้อง Kelce) นอกนั้นจากยังมีเรื่องราวของ Andy Reid เฮดโค้ชสุดเก๋าที่ได้กลับมาเจอทีมที่สร้างชื่อให้ตัวเอง ซึ่งจะเป็นเกมซูเปอร์โบลว์ที่เฮดโค้ชมีประสบการณ์ห่างกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วยเนื่องจาก Nick Sirianni เพิ่งจะมีประสบการณ์คุมทีมมาเพียง 2 ปีเท่านั้น ต่างจากลุง Reid ที่มีประสบการณ์คุมทีมถึง 24 ปี ส่วนรายละเอียดของทั้งคู่รวมถึงภาพรวมเบื้องต้นจะเป็นอย่างไรนั้น ทาง NFL Thailand จะมาสรุปกันครับ
—————————————-
คำถามใหญ่ของพลพรรคหัวศรคือการเสีย Tyreek Hill หนึ่งในปีกที่ดีที่สุดในปัจจุบันไปดอร์ฟินส์จะทำให้พลังในทีมบุกตกลงไปหรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ก็คือพวกเขาก็ยังเป็นทีมที่มีทีมบุกอันดับ 1 ของลีกอยู่ดี พวกเขาเป็นทีมที่ทำคะแนน (29.3 คะแนนต่อเกม) และทำระยะได้มากที่สุดในลีก (7,032 หลา) พวกเขาสร้างทีมบุกใหม่โดยเน้นที่ความลงตัวเป็นหลัก สำหรับปีกทีมเซ็น JuJu Smith-Schuster และ Marquez Valdes-Scantling เข้ามาแทน โดยเฉพาะรายหลังที่เข้ามาเป็นปีกหลักในการเล่นบอลลึก และให้ความสำคัญกับตัววิ่งมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Isiah Pacheco หรือ Jedrick McKinnon ก็ตาม แต่ทั้งหมดก็ยังอยู่ภายใต้การบัญชาทัพของ Patrick Mahomes เช่นเคย ซึ่งผลงานภาพรวมก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีกับสถิติ 14-3 และแม้ว่าในเพลย์ออฟพวกเขาจะเจองานหนักทั้งเกมดิวิชั่นนอลที่เจอกับจากัวร์สที่เป็นความพ่ายแพ้แรกในวันเสาร์ของ Trevor Lawrence และเกมชิงแชมป์สายที่เจอกับคู่แค้นเก่าอย่างเบงกอลส์ที่เฉือนชนะไปเพียง 1 ฟิลด์โกลเท่านั้น
—————————————-
กับทีมบุกที่ดีที่สุดในลีก จอมทัพก็ยังเป็น Patrick Mahomes คนดีคนเดิมที่ปีนี้กลายเป็นปีที่ดีที่สุดในการเล่นอาชีพ ด้วยผลงานการขว้าง 5,250 หลา 41 ทัชดาวน์ 12 อินเตอร์เซ็ปต์ และทำลายสถิติทำระยะรวมได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของควอเตอร์แบ็คของ Drew Brees ที่ 5,608 หลา พร้อมจบฤดูกาลด้วยรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าประจำฤดูกาลนี้ ดังนั้นต้องมารอดูกันว่าอาถรรพ์ MVP ที่ 24 ปีที่ผ่านมาไม่มีใครไปถึงดวงดาวได้จะถูกทำลายหรือไม่ แม้ว่าภาพของ Mahomes ที่เดินเขย่งในเกมชิงแชมป์สาย AFC จากอาการบาดเจ็บข้อเท้าในเกมอาจจะทำให้ใครหลายคนกังวลอยู่บ้าง แต่จากรายงานของทีมเจ้าตัวสามารถกลับมาซ้อมเต็มรูปแบบได้เรียบร้อย
การเสีย Tyreek Hill ไป แม้ว่าทีมจะไม่ได้มีปีกนอกแจ้งเกิดขึ้นมาเต็มตัว แต่ผลงานของ Travis Kelce ก็สมราคาปีกในที่ดีที่สุดในลีกปัจจุบันกับการรับบอลไป 1,338 หลา 12 ทัชดาวน์ พร้อมด้วยการซัพพอร์ตจากสองปีกใหม่ JuJu Smith-Schuster (933 หลา 3 ทัชดาวน์) และ Marquez Valdes-Scantling (633 หลา 2 ทัชดาวน์ รับบอลเฉลี่ย 16.8 หลา/ครั้ง) ส่วนเกมวิ่งพวกเขาเสีย Clyde Edwards-Helaire ไปจากอาการบาดเจ็บ การความคล่องตัวและการเล่นสารพัดประโยชน์ของ Isiah Pacheco รุกกี้ดราฟต์รอบ 7 ที่แจ้งเกิดได้อย่างสวยงามด้วยการทำระยะวิ่งไป 830 หลา 5 ทัชดาวน์และทำระยะรวมได้มากที่สุดอันดับ 10 ของลีก (1,559 หลา) หรือ Jedrick McKinnon แบ็คมากประสบการณ์ที่ทำระยะรวมไปมากกว่า 800 หลา 10 ทัชดาวน์ และกลายเป็นออฟชั่นสำคัญในการรับบอลไปโดยปริยายเป็นที่เรียบร้อย ภายใต้การป้องกันของแนวเปิดทางที่ดีที่สุดอีกชุดของลีก นำมาโดย 3 ผู้เล่นโปรโบลว์ Orlando Brown Jr. (แทคเกิ้ลซ้าย) Joe Thuney (การ์ดซ้าย) และ Creed Humphrey (เซ็นเตอร์) ที่สองรายหลังเป็นผู้เล่นที่ป้องกันเกมขว้างที่ดีที่สุดในตำแหน่งของตัวเอง ส่วนด้านขวา Trey Smith การ์ดขวาก็จัดได้ว่าคุณภาพแน่นเช่นกัน แม้ว่าในตำแหน่งแทคเกิ้ลขวา Andrew Wylie จะยังน่าเป็นห่วงก็ตามกับสถิติเสียไป 9 แซ็ค กับ 8 โทษตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา
—————————————-
้ทีมรับของซีฟส์ปีนี้มีการปรับปรุงมาค่อนข้างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้สิทธิ์ดราฟต์ 2 รอบแรกลงทุนกับ Trent McDuffie ตัวคุมปีกหลักที่เมื่อหายเจ็บกลับมาก็ยกระดับทีมรับได้อย่างเห็นได้ชัดและ George Karlaftis ดีเฟนซีฟเอนด์ตัวหลักที่ก้าวมาเป็นตัวจริงเต็มตัวและทำไป 6 แซ็ค ส่วนภาพรวมก็อยู่ในระดับกลางๆ (เสียคะแนนมากสุดอันดับ 16 เสียระยะน้อยที่สุดอันดับ 11) การป้องกันเกมวิ่งทำได้ดีกว่าการป้องกันการขว้าง โดยเฉพาะสถิติการเสียทัชดาวน์จากการขว้างมากที่สุดในลีก
สำหรับแกนหลักก็ยังเป็น Chris Jones ดีเฟนซีฟแทคเกิ้ลที่โดดเด่นในเรื่องการกดดันควอเตอร์แบ็คที่ปีนี้จัดไป 15.5 แซ็คเป็นเอซในการไล่ล่าควอเตอร์แบ็คคู่แข่งแต่เจ้าตัวกลับยังไม่เคยแซ็คได้แม้แต่ครั้งเดียวในเกมเพลย์ออฟ ซึ่งผลงานของทีมโดยภาพรวมเจ้าตัวก็มีส่วนหลักๆอยู่เช่นกัน (ใน 3 เกมที่แพ้ในฤดูกาลปกติเจ้าตัวทำไปเพียง 1 แซ็คเท่านั้น) จึงเป็นบทพิสูจน์สำคัญของเจ้าตัวในปีนี้ว่าจะนำทีมรับไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่ ขนาบข้างด้วย Frank Clark และ George Karlaftis เป็นคู่หูเอดจ์ อีกคนที่น่าจับตามองได้แก่ Nick Bolton ไลน์แบ็คเกอร์ปี 2 ที่มีสถิติทำไปถึง 180 แทคเกิ้ลที่แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว
ส่วนหลังบ้านนอกจาก McDuffie แล้วนั้นก็ยังมี L’Jarius Sneed ตัวคุมปีกมือ 1 ที่มีสไตล์การเล่นดุดัน แทคเกิ้ลและเข้าบิลิตซ์ได้ดีจนทำไป 108 แทคเกิ้ลและยังเป็นผู้นำการอินเตอร์เซปป์ 3 ครั้งด้วยกัน พร้อมกับเซฟตี้อย่าง Juan Thornhill และ Justin Reid ที่เป็นผู้เล่นคุณภาพด้วยเช่นกัน และทีมพิเศษที่นำทัพมาโดย Harrison Butker คิกเกอร์ที่ชัวร์ที่สุดในลีกปัจจุบันอีกรายที่แม้ว่าปีนี้สถิติจะดรอปลงไปแต่ก็ยังน่ากลัวเช่นเคย และพันท์เตอร์ออลโปรอย่าง Tommy Townsend
—————————————-
Howie Roseman GM อัจฉริยะ (หรือคนบ้า) ของอีเกิ้ลส์ตัดสินใจระเบิดทีมเมื่อ 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา หลังจากมีสถิติสุดเลวร้ายชนะเพียง 4 เกมทั้งฤดูกาล แต่พวกเขากลับได้หนึ่งในทีมที่อาจกล่าวได้ว่าดุดันที่สุดในประวัติศาสตร์กลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม ปีนี้พลพรรคอินทรีมรกตเปิดฤดูกาลได้อย่างดุดัน ชนะ 8 เกมรวดก่อนจบฤดูกาลปกติด้วยสถิติ 14-3 เท่ากัน ส่วนเส้นทางในเพลย์ออฟก็จัดได้ว่าสบายตัวยิ่งนัก เพราะปราบทั้งไจแอนท์ส คู่แค้นร่วมกลุ่มที่เข้ารอบมาได้ที่อ่อนประสบการณ์ในการเล่นเพลย์ออฟ และเอาชนะโฟรตี้นายเนอร์สในเกมชิงแชมป์สายได้อย่างไม่ยากเย็นทั้งคู่ ทำให้สภาพทีมจัดได้ว่าสดและพร้อมสำหรับซูเปอร์โบลว์ครั้งที่ 4 ของทีมอย่างเต็มที่
อีเกิ้ลส์ชุดนี้เป็นทีมพลังหนุ่ม เต็มไปด้วยความห้าวและสดของเหล่าผู้เล่นอายุน้อย แต่ก็เสริมด้วยผู้เล่นประสบการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ทีมจะเน้นไปที่ความสมดุลเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นทีมบุกหรือทีมรับก็ตามจนปีนี้พวกเขาจบด้วยการมีผู้เล่นติดโปรโบวล์มากถึง 8 คนด้วยกัน และพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่ผ่านมาเข้ามาแทบจะทันทีจนพวกเขามาถึงจุดนี้ โดยความสมดุลคือการที่ทีมมีสถิติทีมบุกและทีมรับติด Top 10 ของลีก และทำไปมากถึง 70 แซ็ค (มากที่สุดตลอดกาลอันดับ 3)
—————————————-
ภายใต้กระแสข่าวการล่าตัวควอเตอร์แบ็คตลอดช่วงก่อนเปิดฤดูกาล ในที่สุดทีมก็ยังเลือกที่จะไว้ใจ Jalen Hurts จอมทัพดาวโรจน์ต่อไป ซึ่งผลงานของเขาก็ตอบสนองทีมได้อย่างสาสมใจ เพราะเจ้าตัวยกระดับการเล่นกลายมาเป็นควอเตอร์แบ็คลุ้น MVP ได้สำเร็จ (ได้โหวตเป็นอันดับ 2) แม้ว่าสถิติการขว้างอาจจะไม่ได้โดดเด่นถ้าเทียบกับควอเตอร์แบ็คยุคนี้ (3,701 หลา 22 ทัชดาวน์ 6 อินเตอร์เซปป์) แต่ก็สามารถสร้างจังหวะการเล่นได้เป็นอย่างดีจนมีเรตติ้งการขว้างที่ 101.5 (สูงสุดอันดับ 4 ในปีนี้) แต่ทีเด็ดคือเรื่องของการวิ่งที่ทำให้เจ้าตัวมีมิติการเล่นที่หลากหลายและกลายเป็นเจ้าของสถิติการทำทัชดาวน์ของควอเตอร์แบ็คสูงที่สุดตลอดกาลที่ 13 ทัชดาวน์กับระยะ 760 หลา ในส่วนของเกมวิ่งทีมยังมีอีกแกนหลักอย่าง Mile Sanders ที่กลับมาเป็นทีเด็ดทางภาคพื้นดินอีกครั้งกับการวิ่งไป 1,269 หลา 11 ทัชดาวน์พร้อมด้วยการซัพพอร์ตจากทั้ง Boston Scott และ Kenneth Gainwell
ส่วนชุดปีก การเทรด A.J. Brown เข้ามาเสริมทัพจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในดีลที่ดีที่สุดของปีนี้เลยก็เป็นได้ ด้วยมิติการเล่นที่เข้ามาช่วยทีมได้ทันทีจนมีสถิติทำลายระยะรับบอลของทีมที่ 1,496 หลา 11 ทัชดาวน์ และมีบทบาทในการซัพพอร์ตการเล่นของ DeVonta Smith ปีกดาวโรจน์ได้เป็นอย่างดีจนยกระดับมาเป็นอีกปีกที่ไว้ใจได้กับสถิติ 1,169 หลา 7 ทัชดาวน์ แถมยังมี Dallas Goedert ปีกในมือดีอีกคนที่ก็สามารถไว้ใจได้ทุกเมื่อเป็นอีกออฟชั่นหลักในสนาม ภายใต้การปกป้องของแนวเปิดทางที่ชั่วโมงจัดได้ว่าดีที่สุดในลีกไปแล้ว แนวชุดนี้นำทัพมาโดย Jason Kelce เซ็นเตอร์มากประสบการณ์ที่ยังรักษาความสม่ำเสมอได้เป็นอย่างดีจนเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในตำแหน่งตัวเองไปโดยปริยาย พร้อมกับมีตัวโปรโบวล์ปีนี้อย่าง Landon Dickerson การ์ดขวาและ Lane Johnson แทคเกิ้ลขวาตัวสำคัญ ส่วนอีกสองคนอย่าง Jordan Mailata แทคเกิ้ลซ้ายและ Isaac Seumalo การ์ดซ้ายที่ก็แข็งแกร่งเช่นกันด้วยสถิติจาก PFF จนมีสถิติระดับ Top 3 ของลีกในปีนี้ไปโดยปริยาย
—————————————-
ไม่เพียงแต่ทีมบุก แต่ทีมรับของอีเกิ้ลส์ก็จัดได้ว่าอยู่ในระดับแนวหน้าเช่นกัน (เสียคะแนนน้อยสุดอันดับ 8 เสียระยะน้อยสุดอันดับ 2) จากปีที่ผ่านมาที่ทีมรับมีปัญหาแทบจะทุกยูนิต ทีมก็จัดการอุดด้วยผู้เล่นคุณภาพแทบทั้งสิ้น เริ่มจาก Haason Reddick ที่พอเซ็นมาก็ทำผลงานสุดยอดได้ทันทีกับการเป็นผู้นำแซ็คของทีม 16 แซ็ค แต่ไม่เพียงเท่านั้นแนวรับของทีมยังเต็มไปด้วยความดุดันไม่เกรงใจใคร ไม่ว่าจะเป็น Brandon Graham สตาร์ประจำทีมรับที่คุ้นเคยและ Javon Hargrave ดีเฟนซีฟแทคเกิ้ลตัวเก่งที่ทำไป 11 แซ็คทั้งคู่ รวมถึง Flecher Cox ที่ทำไป 7 แซ็คอีกด้วย ซึ่งส่งผลให้อีเกิ้ลส์เป็นทีมที่แซ็คได้มากที่สุดตลอดกาลอันดับ 3 ที่ 70 ครั้งด้วยกัน
ในส่วนอื่นก็จัดได้ว่าดุดันไม่ใช่เล่น ไลน์แบ็คเกอร์ T. J. Edwards และ Kyzir White พร้อมลงสนาม โดยเฉพาะรายแรกที่ยกระดับการเล่นขึ้นมาจนกลายเป็นอีกหัวใจสำคัญในทีมรับไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการป้องกันเกมวิ่งหรือขว้างก็ตาม ส่วนกองหลังก็จัดการปรับปรุงใหม่เกือบทั้งหมดหลังจากปีที่ผ่านมาก็รั่วเป็นกระชอนใส่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นการดึง C.J. Gardner-Johnson หนึ่งในจอมอินเตอร์เซปป์ของลีกประจำฤดูกาลนี้มาได้ด้วยสิทธิ์ดราฟต์รอบ 5 และ 6 เป็นหนึ่งในดีลที่ดีที่สุดของปีนี้เลยก็เป็นได้ James Bradberry ที่ไจแอนท์สปล่อยออกมาแบบงงๆแล้วทีมก็ดึงมาร่วมทีมแทบจะทันทีและกลายเป็นคู่หูตัวคุมปีกชั้นดีร่วมกับ Darius Slay สตาร์หลักประจำทีมรับ แต่ก็ยังมีจุดอ่อนในเรื่องของเซฟตี้ที่ทั้ง Reed Blankenship และ Marcus Epps ที่ผลงานยังไม่ดีนักและอาจจะเป็นจุดอ่อนสำคัญในทีมรับที่อาจจะถูกเล่นงานได้ทุกเมื่อ และปิดท้ายด้วยตัวเตะคุณภาพอีกคนอย่าง Jake Elliott ที่ปีนี้เตะพลาดไปเพียง 3 ครั้งและมีสถิติการเตะเกิน 50 หลาพลาดไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
—————————————-
แม้จะเป็นทีมที่มีเกมบุกระดับพระกาฬ สามารถเปิดหน้าแลกทำคะแนนกันได้ทุกเมื่อ แต่นักวิจารณ์ต่างมองกันว่าเกมนี้อาจจะเป็นเกมแต้มต่ำก็เป็นได้ เพราะรายละเอียดในหลายๆส่วนมีความคล้ายกันพอสมควร แม้ว่าอาวุธหลักจะต่างกันก็ตาม สำหรับอีเกิ้ลส์นั้นแม้จะมีทีมรับที่มีสถิติ DVOA ดีที่สุดในลีก (บ่งบอกได้ถึงคุณภาพและคุณค่าของทีมรับ) แต่พวกเขากลับมีจุดอ่อนในเรื่องของการป้องกันเกมวิ่ง ซึ่งอาจทำให้ซีฟส์อาจเลือกใช้ตัววิ่งที่มีมิติการเล่นได้หลากหลายมาสลับกันลงสนามเพื่อเล่นงานทีมรับอีเกิ้ลส์ได้ ก่อนที่จะค่อยไปเน้นที่เกมขว้างที่เป็นจุดขายมาโดยตลอด ซึ่งประสบการณ์ในการเล่นเกมใหญ่ของพลพรรคหัวศรน่าจะเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการเล่นเกมนี้ไม่มากก็น้อย ในการปรับแผนเฉพาะหน้าหรือใช้งานผู้เล่นที่มีมิติการเล่นหลากหลายกว่าที่เป็นมา ซึ่งเกมนี้ปีกตัวหลักๆของทีมก็คาดว่าจะได้ลงสนามทุกคน รวมถึง Kadarius Toney ที่กำลังฟื้นฟูสภาพร่างกายจากอาการบาดเจ็บข้อเท้าและเข่าที่ประกาศแล้วว่าพร้อมลงสนามแน่นอน และอาจจะใช้ความคล่องตัวของปีกรวมกับความสามารถของ Travis Kelce ในการโจมตีหลังบ้านของอีเกิ้ลส์ ส่วนในทีมรับก็ต้องมารอดูว่าทีมจะสามารถชะลอจังหวะเกมของอีเกิ้ลส์ได้หรือไม่ Chris Jones เมื่อต้องมาเจอกับแนวเปิดทางที่สมน้ำสมเนื้อจะเล่นได้ตามมาตรฐานหรือไม่อย่างไร รวมถึงการป้องกันการขว้างที่เป็นปัญหาของทีมมาโดยตลอดจะสามารถร่นจังหวะในการเล่นของ Jalen Hurts ได้หรือไม่ในการกระจายบอล ถ้าชะลอเกมได้ ทีมก็อาจใช้ความเก๋าในการเข้าป้ายคว้าชัยในช่วงท้ายได้เช่นกัน
ในส่วนของอีเกิ้ลส์ การบ้านหลักในเกมนี้ของทีมคือการจัดการทีมภาพรวมให้ออกมาสมดุลดังที่เป็นมาโดยตลอด ไม่ Overload หน้าที่ใครเกินความจำเป็น เพราะ Jalen Hurts ก็เพิ่งฟื้นตัวกลับมาจากอาการบาดเจ็บไหล่แล้วผลงานหลังจากนั้นก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางมากนัก แต่ถ้าทีมยังสามารถรักษามาตรฐานการเล่นได้ Hurts มีการเล่นที่เฉียบคมและไม่สร้างความผิดพลาดแบบง่ายๆด้วยความตื่นเกม โอกาสจะเป็นฝ่ายคุมทีมก็มีสูงเช่นกัน ด้วยอาวุธและมิติการเล่นที่หลากหลายทำให้ทีมบุกมีทางเลือกในการเล่นงานทีมรับซีฟส์ที่อาจจะไม่ได้มีความโดดเด่นนักได้ ซึ่งสองจุดสำคัญอาจมองได้ว่าซีฟส์มีปัญหาอย่างมากในการรับมือกับปีกมือ 1 จนมีสถิติแย่เป็นรองบ๊วยของลีกเลยทีเดียวและมีสถิติเชิงสูงว่าพวกเขาก็หยุดเกมวิ่งได้แย่ติด Top 5 ของลีกเช่นกัน จึงเป็นหน้าที่ของพวกเขาแล้วว่าจะเปิดแผลของทีมรับได้ดีเพียงใด และจะรับมือกับการเล่นบลิตซ์ในรูปแบบโซนได้อย่างไรเพราะ Hurts มีสถิติเป็นควอเตอร์แบ็คที่แย่ที่สุดเมื่อเจอรูปแบบการเล่นดังกล่าว ส่วนทีมรับก็เป็นหน้าที่ในการกดดัน Mahomes และพรรคพวกให้ไม่สามารถสร้างไดร์ฟได้ง่ายนักผ่านทีมรับที่มีสถิติไล่ล่าควอเตอร์แบ็คเป็นอันดับ 1 ของฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะการโจมตีผ่านแทคเกิ้ลขวาที่เป็นจุดอ่อนสำคัญของซีฟส์ในปีนี้ และการหยุดจังหวะการเล่นต่างๆของพลพรรคหัวศร ซึ่งถ้าทีมสามารถจัดการปัญหาต่างๆได้เข้าที่เข้าทางโดยเร็ว โอกาสจะคว้าชัยก็มีโอกาสสูงไม่มากก็น้อยเช่นกัน
—————————————-
ถ้าถามใจส่วนตัวแอด @Sakura แอดเป็นมีอีเกิ้ลส์เป็นทีมรักอันดับ 2 อยู่แล้ว ดังนั้นก็ย่อมเชียร์ไปทางอินทรีมรกตเป็นหลัก การสร้างทีมและภาพรวมผลงานออกมาได้อย่างน่าประทับใจมาโดยตลอดทาง จึงก็อยากให้พวกเขาคว้าแชมป์เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าให้มองในมุมมองที่เป็นกลางๆนั้น ส่วนตัวมองว่าซีฟส์เป็นทีมที่มีจุดอ่อนสำคัญโดยรวมมากกว่าที่อาจจะถูกเล่นงานได้ ไม่ว่าจะเป็นทีมรับที่อาจจะยังไม่แน่นอน อาการบาดเจ็บของมาโฮมส์ที่อาจจะยังไม่เข้าที่เต็มร้อย รวมถึงแนวเปิดทางที่มีจุดอ่อนชัดเจน จึงมองว่า
อีเกิ้ลส์จะคว้าแชมป์สมัยที่ 2 ได้ด้วยสกอร์ห่างราว 1 ทัชดาวน์ครับ