พรีวิวซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 57
แคนซัส ซิตี้ ซีฟส์ พบ ฟิลาเดลเฟีย อีเกิ้ลส์
**จันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ เวลา 06.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย)
ถ่ายทอดสดทาง True Sports 1 (666)**
อัตราต่อรอง: อีเกิ้ลส์ เป็นต่อ 1.5 คะแนน
ชุดแข่ง: ซีฟส์เลือกใช้ชุดเสื้อสีขาว กางเกงแดง ส่วนอีเกิ้ลส์ใส่ชุดเสื้อเขียว กางเกงสีขาวในฐานะทีมเจ้าบ้านในปีนี้
กรรมการ: Carl Cheffers (ตัดสิน Superbowl 51 และ 55 มาแล้ว)
ผู้ร้องเพลงชาติ: Chris Stapleton
มาถึงเป็นที่เรียบร้อยสำหรับซูเปอร์ซันเดย์ของวงการกีฬาสหรัฐฯกับเกมซูเปอร์โบวล์ประจำฤดูกาลนี้ โดยเกมครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญได้ทันทีว่าใครจะเป็นทีมที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้ เนื่องจากทั้งคู่จบฤดูกาลปกติโดยเป็นทีมที่มีสถิติดีที่สุดของทั้งสาย AFC และ NFC ซึ่งเป็นครั้งที่ 6 ตั้งแต่ปี 2000 ที่ทีมวางอันดับ 1 ทะลุเข้ามาเจอกัน
ทั้งคู่เป็นแมตซ์อัพสูตรสำเร็จของเกมคุณภาพได้เป็นอย่างดี เมื่อทีมที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ในการเผชิญกับแรงกดดันต่างๆมาโดยตลอด รวมถึงเป็นมหาอำนาจแห่งยุคที่ 5 ปีหลังสุดเข้าชิงแชมป์สายได้ทุกปี (แถมเข้าซูเปอร์โบลว์ได้ถึง 3 จาก 4 ครั้งหลังสุด) กลับมาท้วงบัลลังก์อีกครั้ง มาเจอกับทีมคนหนุ่มไฟแรงที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอดจนเหลืออีกก้าวเดียวเท่านั้นพวกเขาจะถึงฝั่งฝัน ซึ่งพวกเขาถูกมองว่าเป็นทีมที่ภาพรวมสมดุลที่สุดในฤดูกาลนี้อีกด้วย แต่ก็ยังมีคำถามในเรื่องการรับมือแรงกดดันในเกมสำคัญเช่นนี้อยู่
สงครามกลางทะเลทรายครั้งนี้มีเรื่องราวที่เป็นครั้งแรกที่น่าสนใจหลักๆ 2 ประการด้วยกัน อย่างแรกนี่จะเป็นควอเตอร์แบ็คผิวดำมาดวลกันเองในเกมที่สำคัญที่สุดของฤดูกาลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และจะเป็นพี่น้องคู่แรกที่ได้ปะทะกันในซูเปอร์โบลว์ด้วย (พี่น้อง Kelce) นอกนั้นจากยังมีเรื่องราวของ Andy Reid เฮดโค้ชสุดเก๋าที่ได้กลับมาเจอทีมที่สร้างชื่อให้ตัวเอง ซึ่งจะเป็นเกมซูเปอร์โบลว์ที่เฮดโค้ชมีประสบการณ์ห่างกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วยเนื่องจาก Nick Sirianni เพิ่งจะมีประสบการณ์คุมทีมมาเพียง 2 ปีเท่านั้น ต่างจากลุง Reid ที่มีประสบการณ์คุมทีมถึง 24 ปี ส่วนรายละเอียดของทั้งคู่รวมถึงภาพรวมเบื้องต้นจะเป็นอย่างไรนั้น ทาง NFL Thailand จะมาสรุปกันครับ
คำถามใหญ่ของพลพรรคหัวศรคือการเสีย Tyreek Hill หนึ่งในปีกที่ดีที่สุดในปัจจุบันไปดอร์ฟินส์จะทำให้พลังในทีมบุกตกลงไปหรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ก็คือพวกเขาก็ยังเป็นทีมที่มีทีมบุกอันดับ 1 ของลีกอยู่ดี พวกเขาเป็นทีมที่ทำคะแนน (29.3 คะแนนต่อเกม) และทำระยะได้มากที่สุดในลีก (7,032 หลา) พวกเขาสร้างทีมบุกใหม่โดยเน้นที่ความลงตัวเป็นหลัก สำหรับปีกทีมเซ็น JuJu Smith-Schuster และ Marquez Valdes-Scantling เข้ามาแทน โดยเฉพาะรายหลังที่เข้ามาเป็นปีกหลักในการเล่นบอลลึก และให้ความสำคัญกับตัววิ่งมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Isiah Pacheco หรือ Jedrick McKinnon ก็ตาม แต่ทั้งหมดก็ยังอยู่ภายใต้การบัญชาทัพของ Patrick Mahomes เช่นเคย ซึ่งผลงานภาพรวมก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีกับสถิติ 14-3 และแม้ว่าในเพลย์ออฟพวกเขาจะเจองานหนักทั้งเกมดิวิชั่นนอลที่เจอกับจากัวร์สที่เป็นความพ่ายแพ้แรกในวันเสาร์ของ Trevor Lawrence และเกมชิงแชมป์สายที่เจอกับคู่แค้นเก่าอย่างเบงกอลส์ที่เฉือนชนะไปเพียง 1 ฟิลด์โกลเท่านั้น
กับทีมบุกที่ดีที่สุดในลีก จอมทัพก็ยังเป็น Patrick Mahomes คนดีคนเดิมที่ปีนี้กลายเป็นปีที่ดีที่สุดในการเล่นอาชีพ ด้วยผลงานการขว้าง 5,250 หลา 41 ทัชดาวน์ 12 อินเตอร์เซ็ปต์ และทำลายสถิติทำระยะรวมได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของควอเตอร์แบ็คของ Drew Brees ที่ 5,608 หลา พร้อมจบฤดูกาลด้วยรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าประจำฤดูกาลนี้ ดังนั้นต้องมารอดูกันว่าอาถรรพ์ MVP ที่ 24 ปีที่ผ่านมาไม่มีใครไปถึงดวงดาวได้จะถูกทำลายหรือไม่ แม้ว่าภาพของ Mahomes ที่เดินเขย่งในเกมชิงแชมป์สาย AFC จากอาการบาดเจ็บข้อเท้าในเกมอาจจะทำให้ใครหลายคนกังวลอยู่บ้าง แต่จากรายงานของทีมเจ้าตัวสามารถกลับมาซ้อมเต็มรูปแบบได้เรียบร้อย
การเสีย Tyreek Hill ไป แม้ว่าทีมจะไม่ได้มีปีกนอกแจ้งเกิดขึ้นมาเต็มตัว แต่ผลงานของ Travis Kelce ก็สมราคาปีกในที่ดีที่สุดในลีกปัจจุบันกับการรับบอลไป 1,338 หลา 12 ทัชดาวน์ พร้อมด้วยการซัพพอร์ตจากสองปีกใหม่ JuJu Smith-Schuster (933 หลา 3 ทัชดาวน์) และ Marquez Valdes-Scantling (633 หลา 2 ทัชดาวน์ รับบอลเฉลี่ย 16.8 หลา/ครั้ง) ส่วนเกมวิ่งพวกเขาเสีย Clyde Edwards-Helaire ไปจากอาการบาดเจ็บ การความคล่องตัวและการเล่นสารพัดประโยชน์ของ Isiah Pacheco รุกกี้ดราฟต์รอบ 7 ที่แจ้งเกิดได้อย่างสวยงามด้วยการทำระยะวิ่งไป 830 หลา 5 ทัชดาวน์และทำระยะรวมได้มากที่สุดอันดับ 10 ของลีก (1,559 หลา) หรือ Jedrick McKinnon แบ็คมากประสบการณ์ที่ทำระยะรวมไปมากกว่า 800 หลา 10 ทัชดาวน์ และกลายเป็นออฟชั่นสำคัญในการรับบอลไปโดยปริยายเป็นที่เรียบร้อย ภายใต้การป้องกันของแนวเปิดทางที่ดีที่สุดอีกชุดของลีก นำมาโดย 3 ผู้เล่นโปรโบลว์ Orlando Brown Jr. (แทคเกิ้ลซ้าย) Joe Thuney (การ์ดซ้าย) และ Creed Humphrey (เซ็นเตอร์) ที่สองรายหลังเป็นผู้เล่นที่ป้องกันเกมขว้างที่ดีที่สุดในตำแหน่งของตัวเอง ส่วนด้านขวา Trey Smith การ์ดขวาก็จัดได้ว่าคุณภาพแน่นเช่นกัน แม้ว่าในตำแหน่งแทคเกิ้ลขวา Andrew Wylie จะยังน่าเป็นห่วงก็ตามกับสถิติเสียไป 9 แซ็ค กับ 8 โทษตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา
้ทีมรับของซีฟส์ปีนี้มีการปรับปรุงมาค่อนข้างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้สิทธิ์ดราฟต์ 2 รอบแรกลงทุนกับ Trent McDuffie ตัวคุมปีกหลักที่เมื่อหายเจ็บกลับมาก็ยกระดับทีมรับได้อย่างเห็นได้ชัดและ George Karlaftis ดีเฟนซีฟเอนด์ตัวหลักที่ก้าวมาเป็นตัวจริงเต็มตัวและทำไป 6 แซ็ค ส่วนภาพรวมก็อยู่ในระดับกลางๆ (เสียคะแนนมากสุดอันดับ 16 เสียระยะน้อยที่สุดอันดับ 11) การป้องกันเกมวิ่งทำได้ดีกว่าการป้องกันการขว้าง โดยเฉพาะสถิติการเสียทัชดาวน์จากการขว้างมากที่สุดในลีก
สำหรับแกนหลักก็ยังเป็น Chris Jones ดีเฟนซีฟแทคเกิ้ลที่โดดเด่นในเรื่องการกดดันควอเตอร์แบ็คที่ปีนี้จัดไป 15.5 แซ็คเป็นเอซในการไล่ล่าควอเตอร์แบ็คคู่แข่งแต่เจ้าตัวกลับยังไม่เคยแซ็คได้แม้แต่ครั้งเดียวในเกมเพลย์ออฟ ซึ่งผลงานของทีมโดยภาพรวมเจ้าตัวก็มีส่วนหลักๆอยู่เช่นกัน (ใน 3 เกมที่แพ้ในฤดูกาลปกติเจ้าตัวทำไปเพียง 1 แซ็คเท่านั้น) จึงเป็นบทพิสูจน์สำคัญของเจ้าตัวในปีนี้ว่าจะนำทีมรับไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่ ขนาบข้างด้วย Frank Clark และ George Karlaftis เป็นคู่หูเอดจ์ อีกคนที่น่าจับตามองได้แก่ Nick Bolton ไลน์แบ็คเกอร์ปี 2 ที่มีสถิติทำไปถึง 180 แทคเกิ้ลที่แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว
ส่วนหลังบ้านนอกจาก McDuffie แล้วนั้นก็ยังมี L’Jarius Sneed ตัวคุมปีกมือ 1 ที่มีสไตล์การเล่นดุดัน แทคเกิ้ลและเข้าบิลิตซ์ได้ดีจนทำไป 108 แทคเกิ้ลและยังเป็นผู้นำการอินเตอร์เซปป์ 3 ครั้งด้วยกัน พร้อมกับเซฟตี้อย่าง Juan Thornhill และ Justin Reid ที่เป็นผู้เล่นคุณภาพด้วยเช่นกัน และทีมพิเศษที่นำทัพมาโดย Harrison Butker คิกเกอร์ที่ชัวร์ที่สุดในลีกปัจจุบันอีกรายที่แม้ว่าปีนี้สถิติจะดรอปลงไปแต่ก็ยังน่ากลัวเช่นเคย และพันท์เตอร์ออลโปรอย่าง Tommy Townsend
Howie Roseman GM อัจฉริยะ (หรือคนบ้า) ของอีเกิ้ลส์ตัดสินใจระเบิดทีมเมื่อ 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา หลังจากมีสถิติสุดเลวร้ายชนะเพียง 4 เกมทั้งฤดูกาล แต่พวกเขากลับได้หนึ่งในทีมที่อาจกล่าวได้ว่าดุดันที่สุดในประวัติศาสตร์กลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม ปีนี้พลพรรคอินทรีมรกตเปิดฤดูกาลได้อย่างดุดัน ชนะ 8 เกมรวดก่อนจบฤดูกาลปกติด้วยสถิติ 14-3 เท่ากัน ส่วนเส้นทางในเพลย์ออฟก็จัดได้ว่าสบายตัวยิ่งนัก เพราะปราบทั้งไจแอนท์ส คู่แค้นร่วมกลุ่มที่เข้ารอบมาได้ที่อ่อนประสบการณ์ในการเล่นเพลย์ออฟ และเอาชนะโฟรตี้นายเนอร์สในเกมชิงแชมป์สายได้อย่างไม่ยากเย็นทั้งคู่ ทำให้สภาพทีมจัดได้ว่าสดและพร้อมสำหรับซูเปอร์โบลว์ครั้งที่ 4 ของทีมอย่างเต็มที่
อีเกิ้ลส์ชุดนี้เป็นทีมพลังหนุ่ม เต็มไปด้วยความห้าวและสดของเหล่าผู้เล่นอายุน้อย แต่ก็เสริมด้วยผู้เล่นประสบการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ทีมจะเน้นไปที่ความสมดุลเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นทีมบุกหรือทีมรับก็ตามจนปีนี้พวกเขาจบด้วยการมีผู้เล่นติดโปรโบวล์มากถึง 8 คนด้วยกัน และพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่ผ่านมาเข้ามาแทบจะทันทีจนพวกเขามาถึงจุดนี้ โดยความสมดุลคือการที่ทีมมีสถิติทีมบุกและทีมรับติด Top 10 ของลีก และทำไปมากถึง 70 แซ็ค (มากที่สุดตลอดกาลอันดับ 3)
ภายใต้กระแสข่าวการล่าตัวควอเตอร์แบ็คตลอดช่วงก่อนเปิดฤดูกาล ในที่สุดทีมก็ยังเลือกที่จะไว้ใจ Jalen Hurts จอมทัพดาวโรจน์ต่อไป ซึ่งผลงานของเขาก็ตอบสนองทีมได้อย่างสาสมใจ เพราะเจ้าตัวยกระดับการเล่นกลายมาเป็นควอเตอร์แบ็คลุ้น MVP ได้สำเร็จ (ได้โหวตเป็นอันดับ 2) แม้ว่าสถิติการขว้างอาจจะไม่ได้โดดเด่นถ้าเทียบกับควอเตอร์แบ็คยุคนี้ (3,701 หลา 22 ทัชดาวน์ 6 อินเตอร์เซปป์) แต่ก็สามารถสร้างจังหวะการเล่นได้เป็นอย่างดีจนมีเรตติ้งการขว้างที่ 101.5 (สูงสุดอันดับ 4 ในปีนี้) แต่ทีเด็ดคือเรื่องของการวิ่งที่ทำให้เจ้าตัวมีมิติการเล่นที่หลากหลายและกลายเป็นเจ้าของสถิติการทำทัชดาวน์ของควอเตอร์แบ็คสูงที่สุดตลอดกาลที่ 13 ทัชดาวน์กับระยะ 760 หลา ในส่วนของเกมวิ่งทีมยังมีอีกแกนหลักอย่าง Mile Sanders ที่กลับมาเป็นทีเด็ดทางภาคพื้นดินอีกครั้งกับการวิ่งไป 1,269 หลา 11 ทัชดาวน์พร้อมด้วยการซัพพอร์ตจากทั้ง Boston Scott และ Kenneth Gainwell
ส่วนชุดปีก การเทรด A.J. Brown เข้ามาเสริมทัพจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในดีลที่ดีที่สุดของปีนี้เลยก็เป็นได้ ด้วยมิติการเล่นที่เข้ามาช่วยทีมได้ทันทีจนมีสถิติทำลายระยะรับบอลของทีมที่ 1,496 หลา 11 ทัชดาวน์ และมีบทบาทในการซัพพอร์ตการเล่นของ DeVonta Smith ปีกดาวโรจน์ได้เป็นอย่างดีจนยกระดับมาเป็นอีกปีกที่ไว้ใจได้กับสถิติ 1,169 หลา 7 ทัชดาวน์ แถมยังมี Dallas Goedert ปีกในมือดีอีกคนที่ก็สามารถไว้ใจได้ทุกเมื่อเป็นอีกออฟชั่นหลักในสนาม ภายใต้การปกป้องของแนวเปิดทางที่ชั่วโมงจัดได้ว่าดีที่สุดในลีกไปแล้ว แนวชุดนี้นำทัพมาโดย Jason Kelce เซ็นเตอร์มากประสบการณ์ที่ยังรักษาความสม่ำเสมอได้เป็นอย่างดีจนเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในตำแหน่งตัวเองไปโดยปริยาย พร้อมกับมีตัวโปรโบวล์ปีนี้อย่าง Landon Dickerson การ์ดขวาและ Lane Johnson แทคเกิ้ลขวาตัวสำคัญ ส่วนอีกสองคนอย่าง Jordan Mailata แทคเกิ้ลซ้ายและ Isaac Seumalo การ์ดซ้ายที่ก็แข็งแกร่งเช่นกันด้วยสถิติจาก PFF จนมีสถิติระดับ Top 3 ของลีกในปีนี้ไปโดยปริยาย
ไม่เพียงแต่ทีมบุก แต่ทีมรับของอีเกิ้ลส์ก็จัดได้ว่าอยู่ในระดับแนวหน้าเช่นกัน (เสียคะแนนน้อยสุดอันดับ 8 เสียระยะน้อยสุดอันดับ 2) จากปีที่ผ่านมาที่ทีมรับมีปัญหาแทบจะทุกยูนิต ทีมก็จัดการอุดด้วยผู้เล่นคุณภาพแทบทั้งสิ้น เริ่มจาก Haason Reddick ที่พอเซ็นมาก็ทำผลงานสุดยอดได้ทันทีกับการเป็นผู้นำแซ็คของทีม 16 แซ็ค แต่ไม่เพียงเท่านั้นแนวรับของทีมยังเต็มไปด้วยความดุดันไม่เกรงใจใคร ไม่ว่าจะเป็น Brandon Graham สตาร์ประจำทีมรับที่คุ้นเคยและ Javon Hargrave ดีเฟนซีฟแทคเกิ้ลตัวเก่งที่ทำไป 11 แซ็คทั้งคู่ รวมถึง Flecher Cox ที่ทำไป 7 แซ็คอีกด้วย ซึ่งส่งผลให้อีเกิ้ลส์เป็นทีมที่แซ็คได้มากที่สุดตลอดกาลอันดับ 3 ที่ 70 ครั้งด้วยกัน
ในส่วนอื่นก็จัดได้ว่าดุดันไม่ใช่เล่น ไลน์แบ็คเกอร์ T. J. Edwards และ Kyzir White พร้อมลงสนาม โดยเฉพาะรายแรกที่ยกระดับการเล่นขึ้นมาจนกลายเป็นอีกหัวใจสำคัญในทีมรับไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการป้องกันเกมวิ่งหรือขว้างก็ตาม ส่วนกองหลังก็จัดการปรับปรุงใหม่เกือบทั้งหมดหลังจากปีที่ผ่านมาก็รั่วเป็นกระชอนใส่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นการดึง C.J. Gardner-Johnson หนึ่งในจอมอินเตอร์เซปป์ของลีกประจำฤดูกาลนี้มาได้ด้วยสิทธิ์ดราฟต์รอบ 5 และ 6 เป็นหนึ่งในดีลที่ดีที่สุดของปีนี้เลยก็เป็นได้ James Bradberry ที่ไจแอนท์สปล่อยออกมาแบบงงๆแล้วทีมก็ดึงมาร่วมทีมแทบจะทันทีและกลายเป็นคู่หูตัวคุมปีกชั้นดีร่วมกับ Darius Slay สตาร์หลักประจำทีมรับ แต่ก็ยังมีจุดอ่อนในเรื่องของเซฟตี้ที่ทั้ง Reed Blankenship และ Marcus Epps ที่ผลงานยังไม่ดีนักและอาจจะเป็นจุดอ่อนสำคัญในทีมรับที่อาจจะถูกเล่นงานได้ทุกเมื่อ และปิดท้ายด้วยตัวเตะคุณภาพอีกคนอย่าง Jake Elliott ที่ปีนี้เตะพลาดไปเพียง 3 ครั้งและมีสถิติการเตะเกิน 50 หลาพลาดไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
แม้จะเป็นทีมที่มีเกมบุกระดับพระกาฬ สามารถเปิดหน้าแลกทำคะแนนกันได้ทุกเมื่อ แต่นักวิจารณ์ต่างมองกันว่าเกมนี้อาจจะเป็นเกมแต้มต่ำก็เป็นได้ เพราะรายละเอียดในหลายๆส่วนมีความคล้ายกันพอสมควร แม้ว่าอาวุธหลักจะต่างกันก็ตาม สำหรับอีเกิ้ลส์นั้นแม้จะมีทีมรับที่มีสถิติ DVOA ดีที่สุดในลีก (บ่งบอกได้ถึงคุณภาพและคุณค่าของทีมรับ) แต่พวกเขากลับมีจุดอ่อนในเรื่องของการป้องกันเกมวิ่ง ซึ่งอาจทำให้ซีฟส์อาจเลือกใช้ตัววิ่งที่มีมิติการเล่นได้หลากหลายมาสลับกันลงสนามเพื่อเล่นงานทีมรับอีเกิ้ลส์ได้ ก่อนที่จะค่อยไปเน้นที่เกมขว้างที่เป็นจุดขายมาโดยตลอด ซึ่งประสบการณ์ในการเล่นเกมใหญ่ของพลพรรคหัวศรน่าจะเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการเล่นเกมนี้ไม่มากก็น้อย ในการปรับแผนเฉพาะหน้าหรือใช้งานผู้เล่นที่มีมิติการเล่นหลากหลายกว่าที่เป็นมา ซึ่งเกมนี้ปีกตัวหลักๆของทีมก็คาดว่าจะได้ลงสนามทุกคน รวมถึง Kadarius Toney ที่กำลังฟื้นฟูสภาพร่างกายจากอาการบาดเจ็บข้อเท้าและเข่าที่ประกาศแล้วว่าพร้อมลงสนามแน่นอน และอาจจะใช้ความคล่องตัวของปีกรวมกับความสามารถของ Travis Kelce ในการโจมตีหลังบ้านของอีเกิ้ลส์ ส่วนในทีมรับก็ต้องมารอดูว่าทีมจะสามารถชะลอจังหวะเกมของอีเกิ้ลส์ได้หรือไม่ Chris Jones เมื่อต้องมาเจอกับแนวเปิดทางที่สมน้ำสมเนื้อจะเล่นได้ตามมาตรฐานหรือไม่อย่างไร รวมถึงการป้องกันการขว้างที่เป็นปัญหาของทีมมาโดยตลอดจะสามารถร่นจังหวะในการเล่นของ Jalen Hurts ได้หรือไม่ในการกระจายบอล ถ้าชะลอเกมได้ ทีมก็อาจใช้ความเก๋าในการเข้าป้ายคว้าชัยในช่วงท้ายได้เช่นกัน
ในส่วนของอีเกิ้ลส์ การบ้านหลักในเกมนี้ของทีมคือการจัดการทีมภาพรวมให้ออกมาสมดุลดังที่เป็นมาโดยตลอด ไม่ Overload หน้าที่ใครเกินความจำเป็น เพราะ Jalen Hurts ก็เพิ่งฟื้นตัวกลับมาจากอาการบาดเจ็บไหล่แล้วผลงานหลังจากนั้นก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางมากนัก แต่ถ้าทีมยังสามารถรักษามาตรฐานการเล่นได้ Hurts มีการเล่นที่เฉียบคมและไม่สร้างความผิดพลาดแบบง่ายๆด้วยความตื่นเกม โอกาสจะเป็นฝ่ายคุมทีมก็มีสูงเช่นกัน ด้วยอาวุธและมิติการเล่นที่หลากหลายทำให้ทีมบุกมีทางเลือกในการเล่นงานทีมรับซีฟส์ที่อาจจะไม่ได้มีความโดดเด่นนักได้ ซึ่งสองจุดสำคัญอาจมองได้ว่าซีฟส์มีปัญหาอย่างมากในการรับมือกับปีกมือ 1 จนมีสถิติแย่เป็นรองบ๊วยของลีกเลยทีเดียวและมีสถิติเชิงสูงว่าพวกเขาก็หยุดเกมวิ่งได้แย่ติด Top 5 ของลีกเช่นกัน จึงเป็นหน้าที่ของพวกเขาแล้วว่าจะเปิดแผลของทีมรับได้ดีเพียงใด และจะรับมือกับการเล่นบลิตซ์ในรูปแบบโซนได้อย่างไรเพราะ Hurts มีสถิติเป็นควอเตอร์แบ็คที่แย่ที่สุดเมื่อเจอรูปแบบการเล่นดังกล่าว ส่วนทีมรับก็เป็นหน้าที่ในการกดดัน Mahomes และพรรคพวกให้ไม่สามารถสร้างไดร์ฟได้ง่ายนักผ่านทีมรับที่มีสถิติไล่ล่าควอเตอร์แบ็คเป็นอันดับ 1 ของฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะการโจมตีผ่านแทคเกิ้ลขวาที่เป็นจุดอ่อนสำคัญของซีฟส์ในปีนี้ และการหยุดจังหวะการเล่นต่างๆของพลพรรคหัวศร ซึ่งถ้าทีมสามารถจัดการปัญหาต่างๆได้เข้าที่เข้าทางโดยเร็ว โอกาสจะคว้าชัยก็มีโอกาสสูงไม่มากก็น้อยเช่นกัน
ถ้าถามใจส่วนตัวแอด @Sakura แอดเป็นมีอีเกิ้ลส์เป็นทีมรักอันดับ 2 อยู่แล้ว ดังนั้นก็ย่อมเชียร์ไปทางอินทรีมรกตเป็นหลัก การสร้างทีมและภาพรวมผลงานออกมาได้อย่างน่าประทับใจมาโดยตลอดทาง จึงก็อยากให้พวกเขาคว้าแชมป์เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าให้มองในมุมมองที่เป็นกลางๆนั้น ส่วนตัวมองว่าซีฟส์เป็นทีมที่มีจุดอ่อนสำคัญโดยรวมมากกว่าที่อาจจะถูกเล่นงานได้ ไม่ว่าจะเป็นทีมรับที่อาจจะยังไม่แน่นอน อาการบาดเจ็บของมาโฮมส์ที่อาจจะยังไม่เข้าที่เต็มร้อย รวมถึงแนวเปิดทางที่มีจุดอ่อนชัดเจน จึงมองว่า
อีเกิ้ลส์จะคว้าแชมป์สมัยที่ 2 ได้ด้วยสกอร์ห่างราว 1 ทัชดาวน์ครับ